WHAT'S NEW?
Loading...

คุณได้รับจดหมายจากยมบาลบ้างหรือยัง ? ยมบาล มี จดหมาย มาเตือน.. (1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน)

  คุณได้รับจดหมายจากยมบาลบ้างหรือยัง ?
ยมบาล มี จดหมาย มาเตือน


มีหญิงคนหนึ่งเสียชีวิตกระทันหัน ก็เลยไปขอร้องยมบาลว่า
ยังไม่อยากตายขอเวลายมบาล ๑ เดือนเพื่อไปสะสางงานที่คั่งค้าง
เช่น ยังไม่ได้แบ่งแยกทรัพย์สินให้ลูก ยังไม่ได้โอนที่ดิน
ยังไม่ได้ไปทวงเงินกับลูกหนี้ ยังไม่ได้ทำอะไรตั้งหลายอย่าง..ฯลฯ




ขอเวลา ๑ เดือน เพื่อไปจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย แล้วจะยอมตาย
ยมบาลบอกว่าไม่ได้ งั้นขอเวลา ๒ อาทิตย์ก็ได้
ยมบาลบอกว่าไม่ได้ งั้นขอเวลาอีก ๑ อาทิตย์ก็ได้
ยมบาลบอกว่าไม่ได้ ๑ นาทีก็ไม่ได้
ผู้หญิงคนนั้น จึงถามว่าทำไมไม่ได้




ก็เคยมีจดหมายมาเตือนหลายครั้งแล้ว ไม่ได้รับหรือไง
ผู้หญิงคนนั้นก็ถามว่า จดหมายอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลย
ยมบาลก็บอกว่า จดหมายที่เตือนว่า
ผมหงอก ปวดหัวเข่า ปวดหัว ปวดฟัน ปวดเมื่อยตามร่างกาย
โรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ และอื่นๆ อีกมากมาย
ที่เตือนว่า แก่แล้วให้รู้จักเตรียมตัวตาย อย่างให้วางแผนชีวิตให้ดี
ต้องรู้จักเตรียมตัวตาย อย่าประมาท ถ้าถึงเวลาตายจะได้หมดห่วง
หมดกังวล ไม่ต้องมาร้องขอชีวิตเพื่อไปสะสางงาน


ที่มา : FB ปาฏิหาร บรรชาสวรรค์

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

การซักประวัติ


       การซักประวัติ หมายถึงการถามประวัติคนไข้ ประวัติครอบครัว ประวัติการเจ็บป่วยทั้งปัจจุบันและอดีต ผู้ศึกษาจะต้องมีไหวพริบช่างสังเกตุ ซึงเป็นศิลปะอันสำคัญของแพทย์ในการซักประวัติ และวิธีการตรวจโรคนี้ เป็นการยากที่จะวางแผนตายตัวลงไปได้ แต่เมื่อสรุปแล้วหลักใหญ่ๆ ในการตรวจโรค มีหลัก อยู่ 4 ประการคือ
1.ถามประวัติคนไข้และครอบครัว นาม ตำบลที่อยู่ ที่เกิด สัญชาติ อายุ อาชีพ ความประพฤติที่เคยชิน โรคทีเคยเป็นมา ถามถึงครอบครัวที่ใกล้ชิด สำหรับการพิเคราะห์เผ่าพันธ์ อันเป็นหนทางให้ให้โรคติดต่อถึงกันได้
2.ถามประวัติโรคทั้งอดีตและปัจจุบัน เช่น ถามวันเวลาที่แรกป่วย เริ่มป่วยมีอาการอย่างไร อาการต่อมา การรักษาพยาบาล แล้วอาการผันแปรอย่างไรในวันหนึ่งๆ ปัจจุบันเวลาที่ตรวจมีความสำคัญอย่างไร
3.การตรวจร่างกายและจิตใจคนไข้นั้น เช่นตรวจดูลักษณะรูปร่าง ผิวพรรณ กำลัง สติอารมณ์ ทุกขเวทนา ตรวจการหายใจเป็นอย่างไร ตรวจอวัยวะ หัวใจ ตับ ปอด ม้าม ลิ้น ตา ตรวจเหงื่อ และส่วนที่พิการซึ่งแลเห็น
4.การตรวจและถามอาการนั้น เช่น วัดปรอท ดูความร้อน ตรวจชีพจร อุจจาระ ปัสสาวะ(ถามและตรวจ) ถามถึง การบริโภคอาหาร การหลับนอน ความรู้สึกภายในภายนอก และในปากในคอ




*ในหลักการตรวจโรคที่กล่าวมาแล้วแต่ต้นเหล่านีไม่ใช่ว่าจะต้องตรวจแก่คนไข้ รายหนึ่งๆทุกข้อ ทุกหลักไป ก็หามิได้ ย่อมสุดแท้แต่เหตุผลของความเจ็บไข้ ที่ปรากฎไปถึง ขอให้อยู่ในความ วินิจฉัยของแพทย์ ตามสมควร

วิธีการตรวจโรค ธรรมดาแพทย์ที่จะรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ก็จะต้องตรวจอวัยวะใหญ่น้อย ให้รอบคอบ เพื่อจะได้รู้ความเป็นไปของโรคนั้น ดังจะได้อธิบายวิธีตรวจต่อไปนี้-
•ตรวจชีพจร – เพื่อทราบความหนักและเบาของโรค
•ตรวจเส้น อัษฎากาศ เส้นสุมนา เส้นอัมพฤกษ์
•ตรวจร่างกาย – เพื่อรู้ว่าส่วนพิการในที่หนึ่งที่ใด
•ตรวจจักษุ – เพื่อรู้อาการของโรคซึ่งแสดงทางจักษุ มีสีแดง เขียว ขาว เป็นต้น
•ตรวจ ปาก ลิ้น ขากรรไกร เพื่อรู้ความเป็นแผลเป็นละออง เป็นเม็ดและพิการอื่นๆ ในที่นั้น
•ตรวจหทัง(หัวใจ)
•ตรวจปัปผาสัง ( ปอด)
•ตรวจยกนัง( ตับ)
•ตรวจวักกัง(ม้าม)
•ตรวจอันตัง(ไส้ใหญ่) อันตะคุณัง(ไส้น้อย) ตลอดถึงกระเพาะอาหาร
•การตรวจปัสสาวะ เพื่อรู้สี แดง ดำ เขียวเหลืองขุ่นข้นเจือมาในปัสสาวะนั้นกับการถ่ายปัสสาวะสะดวกหรือไม
•ตรวจปิหะกัง(ไต)
•ตรวจมดลูก
•ตรวจเฉพาะที่ป่วย เพื่อรู้ว่าเป็นแผลฟกช้ำ เคล็ด ยอก บวม
•ตรวจอุจจาระ ทั้งถามทั้งตรวจด้วยตนเอง เพื่อรู้หยาบ ละเอียด สีดำ แดง เขียว ขาว เหลือง
•ตรวจปัสสาวะ ทั้งตรวจและถาม เพื่อรู้สีแห่งปัสสาวะ สีดำ แดง เหลือง เขียว ขาว ขุ่น ข้น เบาสะดวกหรือไม่

การตรวจโรคโดยความสังเกต
1.ตรวจสติอารมณ์ เพื่อรู้ความปกติ หรือ ความฟั่นเฟือน แห่งกำลังใจ ของผู้ป่วย
2.ตรวจเสียง เพื่อรู้ว่าเสียง นั้นปกติ หรือแหบ แห้ง และวิปริตอย่างไร
3.ตรวจการหายใจ เพื่อรู้อาการ เร็ว ช้า สั้น ยาวหนัก เบา
4.ตรวจทุกเทนา เพื่อรู้อาการหนัก เบา ต่างๆ ที่มีกับผู้ป่วย
 การตรวจโดยวิธีการถาม
– เมื่อก่อนจะเจ็บ มีเหตุอย่างไร เพื่อประสงค์ รู้มูลของโรคที่ได้เกิดขึ้น
– ล้มเจ็บมาแต่ วัน เดือน และเวลาใด เพื่อ รู้ฤดูสมุฏฐาน กาล สมุฏฐาน
– แรกเจ็บมีอาการอย่างไร เพื่อรู้อาการหนักเบา ของโรคที่เป็นมาแล้ว
– อาการที่รู้สึกไม่สบายในวันหนึ่งๆ เวลาใด เพื่อรู้กาล สมุฏฐาน
5.การรักษาพยาบาลแล้ว มีอาการเป็นอย่างไร เพื่อรู้การผันแปรของโรค
6.เจ็บมาได้กี่วัน เพื่อรู้อายุของโรค ซึ่งตกอยู่ในระหว่างโทษชนิดใด
7.ผู้ป่วยอายุเท่าไร เพื่อรู้อายุสมุฏฐาน
8.โรคประจำตัวมีอย่างไร เช่น ริดสีดวง หืด โรคบุรุษ ๆลๆ เป็นต้น
9.ความประพฤติที่เป็นอยู่เนืองนิตย์ของผู้ป่วย เช่น สูบฝิ่น ดื่มสุรา และประกอบอาชีพ และอิริยาบถสำหรับร่างกาย
10.การนอนของคนไข้ เพื่อรู้ว่าหลับมากน้อย หรือหลับสนิทหรือไม่ หรือไม่หลับ
11.บริโภคอาหารเป็นอย่างไร ได้มากหรือน้อย มีรสอร่อยหรือไม่
12.ความทุกขเวทนาเป็นอย่างไร เพื่อรู้ความปวด ขัด ยอก จุกเสียดในที่ใด ทั้งภายใน และภายนอก
13.ความรู้สึกในปาก ลิ้น คอ และในที่ต่างๆ เพื่อรู้เป็นปกติหรือพิการ




* เมื่อตรวจและถามพอกับความต้องการแล้ว ต่อไปเป็นหน้าที่ของแพทย์จักต้องวินิจฉัยหาเหตุและผล ตามหลักของสมุฏฐานต่างๆ ว่า โรคที่เกิดขึ้นนี้ มีสมุฏฐานอะไร เป็นเหตุและธาตุใด พิกัดใด พิการบ้าง รวมธาตุที่พิการมีกี่อย่าง ความรู้แผนกนี้ แพทย์จะต้องรู้ให้รอบคอบทุกประการ

วิธีการวินิจฉัยโรค
•มูลให้เกิดโรคในคราวนี้มี ๑๒ ปราการ เช่นฤดูเปลี่ยนแปลงเป็นต้น ได้กับสิ่งใดเป็นมูลให้เกิดโรคขึ้น
•โรคคราวนี้ มีธาตุใด พิกัดใด ที่พิการนั้นมีกี่อย่างรวมกี่อย่าง เพื่อจะได้แก้ไขให้ตรงตามหลักของธาตุสมุฏฐาน
•ผู้ป่วยตั้งแต่แรกเป็นจนถึงวันที่ตรวจอยู่ในเกณฑ์ฤดูสมุฏฐานอะไร พิกัดอะไร
•ผู้ป่วยอายุอยู่ในวัยใด ในวัยนั้นเป็นอายุและสมุฏฐานอะไร พิกัดอะไร และสิ่งใดให้โทษ
•เวลาผู้ป่วยไม่สบาย มีการกลุ้มอกกลุ้มใจเป็นต้น หรือถึงเวลาจับไข้อยู่ในกาลสมุฏฐานใด พิกัดใด และสิ่งใดให้โทษ
•ตั้งแต่วันแรกป่วยจนถึงวันที่ตรวจ รวมได้กี่วัน เพื่อรู้อายุของโรคนั้นตกอยู่ในโทษใด(มีเอกโทษเป็นต้น)
•ควรรู้ว่า ธาตุใดกำเริบ หย่อน พิการ นับตั้งแต่วัน เดือน และเวลาแรกป่วย จนถึงวันที่ตรวจ เพื่อจะได้รู้โรคคราวนี้ ตกอยู่ในส่วนใด

การวิจารณ์ในการรักษา และวิธีประกอบยาให้ตรงกับโรค
•โรคนี้ตามแพทย์ได้สมมุตติไว้ว่า เป็นโรคอะไร และชื่อว่าโรคอย่างใด
•โรคนี้จะต้องใช้ยาสรรพคุณอย่างไร และยาชนิดใดแก้ จึงจะตรงกับโรค
•โรคนี้จะต้องแก้ธาตุใด สมุฏฐานใด พิกัดใดก่อนจึงจะควรกับโรคนั้น
•โรคในคราวนี้มีธาตุใด สมุฏฐานใด พิกัดใด เป็นหัวหน้าที่ให้โทษร้ายแรง( เพื่อจะได้แก้ไขเสียก่อน)

* เมื่อได้วางยาแก้ไข้แล้ว โรคนั้นยังไม่ถอย ควรจะต้องตรวจและพิจารณา เหตุผลของโรคนั้นอีก ส่วนยาก็จะต้องเปลี่ยนหรือเพิ่มเพิ่มเติมขนานอื่นๆ อีกต่อไป แล้วแต่จะสมควรกับโรค

การวินิจฉัยโรค ( การประมวลโรค)

การตรวจโรคตามที่กล่าวมาแล้ว และยังมีการตรวจอีกหลายวิธีนั้น มิใช่ว่าแพทย์จะต้องทำการตรวจทุกสิ่งทุกอย่างไปก็หามิได้ ย่อมสุดแต่ความเหมาะสมกาลเทศะสำหรับคนไข้รายใดรายหนึ่ง แล้วแต่เหตุผล ที่จะต้องเกี่ยวโยงไปถึง ซึ่งจะต้องขอมอบให้เป็นความสามารถของแพทย์ผู้ได้ลงมือปฎิบัติกับคนไข้เฉพาะหน้า เมื่อตรวจแล้ว พอที่จะสรุปความเห็นวินิจฉัยประมวลโรคได้ โดยอาศัยหลัก 5 ประการดังนี้
1.คนเจ็บป่วยด้วยการเช่นนี้ มีอะไรพิการอยู่ในสมุฏฐานและพิกัดใด รวมความแล้วควรจะสมมุติเรียกว่าโรคอะไร
2.โรคนั้นมีที่เกิดแต่อะไรเป็นเหตุ รีบคิดค้นเมื่อได้ความแล้ว พึงเอาอาการนั้นๆมาเป็นหลักวิเคราะห์ว่า คนเจ็บนั้นเกิด โรคด้วยเหตุอันใด
 มีอะไรขาดหรือเกินหรือกระทบกระเทือน อะไร จึงเป็นเหตุให้เจ็บไข้
3.โรคเช่นนี้จะบำบัดแก้ไขโดยวิธีการใดก่อน เมื่อเห็นทางแก้ไขแล้วจึงวิเคราะห์เลือกยาที่จะใช้บำบัดต่อไป
4.สรรพคุณยาอะไร จะต้องใช้อย่างละมากน้อยเท่าใด ให้รับประทานเวลาอะไร ขนาดเท่าใด
5.เริ่มวางยาตามลักษณะโรคที่ตรวจพบ สุดแต่จะเห็นสมควรจะให้ยาบำบัดโรคที่ทรมานสำคัญอย่างใดก่อน

ส่วนยาที่ที่ท่านตั้งตำรับบอกวิธีให้ทำไว้ จักต้องใช้อะไรมีส่วนเท่าไร เมื่อปรุงผสมแล้วเรียกชื่อว่า อย่างไร ยาสำหรับแก้โรคต่างๆนั้น ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์แพทยศาสตร์ฉบับหลวง และเวชศึกษาอย่างมากมาย ล้วนแต่เป็นตำรายาที่ดีทั้งสิ้น ซึ่งเคยบำบัดโรคร้ายหายมาแล้วทั้งนั้น เมื่อท่านจะจัดปรุงขึ้น จงใช้ความพยายามอย่างประณีต ในการคัดเลือกชั่งตวงให้ถูกต้องจริงๆ จงสงวนศักดิ์ของยาไทยไว้ ให้เป็นยาที่มี สรรพคุณอนันต์อันหาคามิได้ และสมควรเป็นตำรับคู่มือที่ทรงเกียรติ แต่แพทย์แผนโบราณ ซึ่งได้ศึกษา สืบมรดก ต่อมา ท่านจะได้เป็นเวชกรผู้เชี่ยวชาญไปในภายภาคหน้า

 ที่มา :  สมุนไพรดอทคอม

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

วิธีการ…เพิ่มบุญให้เทวดา ที่อยู่ใกล้เรา (1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน)


คนทั่วไปมักจะคำนึงถึงเทวดา หรือเทพ ชั้นผู้ใหญ่ เช่น ท้าวเวสสุวัณ พระอินทร์ พระพิฆเนศวร พระอิศวร พระอุมา เป็นต้นโดยลืมว่า ยังมีเทพ เทวา อีกบางส่วนที่อาศัย อยู่กับเราตลอด อีกทั้งคอยช่วยเหลือเราแทบทุกเวลา




ศาสตร์เหล่านี้คนโบราณ จะไม่ละเลย เเละใส่ใจปฏิบัติเป็นอย่างมาก มักจะเก็บดอกไม้สีขาว จำพวกดอกพุด ทำเป็นขันห้า บูชาที่หัวเตียง เสมอไม่เคยขาดทุกวันพระ

ความเชื่อโบราณที่ว่า บูชาของรักษา ของรักษาก็หมายถึงเทวดาที่รักษาเรานั่นเอง ท่านจะคอยดูแล เตือนภัยต่างๆให้ เทวดาที่เกี่ยวเนื่องกับคนมากที่สุด เช่น เทวดาประจำตัว เทวดารักษาวัตถุ สิ่งของ เช่น รักษาพระเครื่อง วัตถุมงคล ที่เราใช้ เทวดารักษาสถานที่ เช่น รักษาบ้านเรือน หรือเรียกว่าผีบ้านผีเรือนนั่นเอง พระภูมิเจ้าที่ เป็นต้น


วิธีการปฏิบัติ ดูแล หรือเพิ่มอิทธิฤทธิ์ให้เทวดา

1. เราควรไหว้เทวดาประจำตัวด้วยบายศรีปากชามในวันเกิดของเรา อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

2.ควรซื้อพวงมาลัย ไหว้หัวเตียงที่เรานอน ทุกวันพระ หรือเก็บดอกไม้ ใส่พานไว้หัวเตียง เพื่อเป็นการสักการะเทวดาที่รักษาเวลาเรานอน และบูชาเทวดาประจำตัวเรา เชื่อว่า หากมีเรื่องร้ายเทวดาจะมานิมิตบอกทันที และจะฝันแม่นมาก




3.หาโอกาสทำบุญสังฆทาน ผ้าป่า กฐิน บุญใหญ่ๆ เช่น หล่อพระพุทธรูป บุญสร้างสะพาน สร้างสาธารณะกุศลที่คนได้ใช้มากๆ แล้วอุทิศกุศลให้เทวดา แล้วเทวดาเหล่านี้จะมีฤทธิ์มากขึ้นเรื่อยๆ จะช่วยดูแลเราได้มากขึ้น

คนสมัยใหม่ มักจะทำไม่เป็น ไม่คุ้นกับวิธีการ ลองทำดู พิสูจน์ดู เป็นความเชื่อที่หากใครปฏิบัติถูกต้องมักจะร่มเย็นเป็นสุข

Source: thaijobsgov

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

วิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายๆ สิวหลุด จมูกไม่แดง!!


 ขอแนะนำวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายๆ เชื่อแน่ว่าทุกคนน่าจะมีปัญหาสิวเสี้ยนตามจุดต่างๆ บนใบหน้า โดยเฉพาะที่จมูกก็เลยมีวิธีกำจัดสิวเสี้ยนที่จมูกแบบง่ายที่สุดมาบอกกันจ้า!




อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่นบิดหมาด
2. เกลือเม็ดละเอียด อย่างของเกลือปรุงทิพย์ก็ได้
3. น้ำมะนาว 1 ซีก
4. น้ำผึ้ง 1 ช้อนชา

วิธีทำ
1. เริ่มจากเอาผ้าขนหนูอุ่นโปะที่จมูกซัก 10 นาที เพื่อให้สิวเสี้ยนที่เป็นไขมันที่อยู่ ในรูขุมขนโผล่ออกมาเจออากาศ มันจะเป็นก้อนแข็งๆ เพราะงั้นเราเลยต้องมา ละลายไขมันอุดตันด้วยความร้อนจากผ้า

2. พอไขมันเริ่มเหลวๆ ไหลออกมาเล็กน้อย เพื่อให้รูขุมขนเปิดซะก่อน

3. แล้วเอาเกลือ น้ำมะนาว น้ำผึ้ง ที่ผสมกันแล้ว มาโปะแล้วนวด แบบเบามือ คลึงเบาๆ ซัก 10 นาที




4. หลังจากนั้นใช้ผ้าขนหนูอุ่นอันเดิมเช็ดออกเบาๆ

5. แล้วล้างหน้าด้วยน้ำปกติเพื่อให้รูขุมขนหดตัวลง


บทความจาก : HYLIFE HYSHOP


กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

สุดยอด!! วิธีขัดตาตุ่มให้หายดำ หม่นหมองด้วยวิธีที่คุณไม่อยากเชื่อกับผลที่ได้


สูตรเด็ดมาให้สาว ๆ แก้ปัญหาตาตุ่มดำหม่นหมองแล้วจร้า แถมยังเป็นสูตรจากธรรมชาติอีกด้วยนะ มาเริ่มกันเลย




1. กากกาแฟ + ขมิ้น + นมสด

- กากกาแฟที่ใช้แล้วมา 2 ช้อนโต๊ะ

- ผงขมิ้น 1 ช้อนโต๊ะ

- นมสด 1/4 แก้ว

คนส่วนผสมทุกอย่างให้เข้ากัน จากนั้นนำมาพอกที่ตาตุ่มทิ้งไว้ 1 นาที จากนั้นขัด ๆ ด้วยมือหรือฟองน้ำ หรืออื่น ๆ ก็ได้ค่ะ จากนั้นขัด ๆ เป็นวงกลมราว ๆ 5-10 นาทีแล้วล้างออก ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง

2. มะนาว

นำมะนาวสด ผ่าครึ่งลูกเลยค่ะสาว ๆ จากนั้นนำมะนาวทั้งเปลือกนี่แหละ ขัด ๆ วน ๆ บริเวณตาตุ่มเลยค่ะ สัก 2-3 นาที จากนั้นล้างออก ทำบ่อยได้เท่าที่สาว ๆ ต้องการเลยค่ะ

3. น้ำตาลทรายแดง + นมสด

- น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ

- นมสด 1 ช้อนชา

คนให้เข้ากันแล้วนำมาขัดที่บริเวณตาตุ่ม เป็นเวลา 5 นาทีค่ะ ตัวเม็ดน้ำตาลจะช่วยขัดสิ่งสกปรกออกได้ ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง




4. เกลือ + เบบี้ออยล์

- เกลือเม็ดละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ

- เบบี้ออยล์ 2 ช้อนชา

คนให้เข้ากันแล้วนำมาพอก และขัดที่ตาตุ่ม ประมาณ 3-5 นาที ทำเป็นประจำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง

5. น้ำมะขามเปียก + น้ำผึ้ง

- น้ำมะขามเปียกละลายน้ำ

- น้ำผึ้ง

ใช้ใยบวบหรือฟองน้ำในการขัดจะนิ่งเริ่ดเลยค่ะสาว ๆ แต่อย่าขัดแรงเกินนะคะ เดี๋ยวจะระคายเคืองเอาได้


ตาตุ่มดำ จะไม่มากวนใจสาว ๆ อีกต่อไปค่ะ เพียงสาว ๆ ใช้ 5 สูตรนี้เป็นประจำ รับรองว่าขาวใส วางใจได้แน่นอน!!!

ที่มา:แบ่งปันสุขภาพทุกเรื่องราว 2

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

หัวปลีกล้วยน้ำว้ากับสูตรแก้โรคเบาหวาน มีวิธีทำรับประทานเองแบบง่าย ๆ


หัวปลีกล้วยน้ำว้ากับสูตรแก้โรคเบาหวาน มีวิธีทำรับประทานเองแบบง่าย ๆ คือให้เอาหัวปลีกล้วยน้ำว้าเท่านั้น หัวปลีจากกล้วยชนิดอื่นใช้ไม่ได้ จำนวน 1 หัว ย่างไฟให้เปลือกชั้นนอกไหม้เกรียมแล้วต้มกับน้ำ กะจำนวนพอเหมาะจนเดือดดื่มต่างน้ำทั้งวันให้หมดหม้อวันละ 1 หัว จนครบ 7 วัน หากคนที่เป็นเบาหวานดื่มแล้วถูกทางยาดื่ม 1-2 วันแรกจะมีอาการรู้สึกปวดเมื่อยตามร่างกายแทบทนไม่ไหวแสดงว่ายานี้ได้ผล ต้มดื่มจนครบ 7 วัน ตามที่บอกข้างต้น โรคเบาหวานจะดีขึ้นและหายได้ สามารถต้มดื่มได้เรื่อย ๆ แต่ไม่จำเป็นต้องทุกวันเหมือนครั้งแรก




แต่หากใครที่เป็นเบาหวานต้มดื่ม 3 วัน ไม่มีอาการตามที่กล่าวข้างต้น แสดงว่าไม่ได้ผล ไม่ถูกทางยา ใช้สูตรนี้ไม่ได้ เลิกต้มดื่มได้เลย สูตรนี้เป็นสูตรโบราณ แนะนำเป็นวิทยาทาน ใครเป็นเบาหวานทดลองดูไม่มีอันตรายอะไร




เพจ FB  นพดล อุ่นตา

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

วิธีแก้กรรม/ลดกรรม ด้วยวิธีใส่บาตรให้ถูกวิธี (1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน)


ท่านพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ) ท่านแนะนำว่า
ก่อนใส่บาตร...ให้จุดธูป 3 ดอกกลางแจ้ง ขอขมากรรม โดย ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า
"ข้าพเจ้าขอขมากรรม ต่อเจ้ากรรมนายเวร ศัตรู หมู่มาร หมู่พาล ทุกภพทุกชาติ ขอให้อโหสิกรรม ให้ขาดจากกัน"

หลังใส่บาตรเสร็จ...ทุกครั้ง ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ แล้วกล่าวว่า
"กุศลที่ลูกได้ทำแล้ว ขอถวายแด่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า 5 พระองค์ ขอให้ทุกพระองค์ นำส่งบุญให้ข้าพเจ้า มีเดช ปัญญา โภคะ ขอให้สมหวัง สมปรารถนาทุกเรื่อง ขอให้มีบุญบารมีเต็มขั้น เกิดสภาวะธรรม ตามบุญวาสนาที่ได้ทำมา จากทุกภพทุกชาติโดยเร็วเทอญ และขออุทิศให้ เจ้ากรรมนายเวร ทุกภพทุกชาติ (วิญญาณ) ศัตรูหมู่มารหมู่พาล (เช่น มนุษย์,หุ้นส่วน,เพื่อน,ในครอบครัว) ทุกภพทุกชาติ (เอ่ยชื่อได้ยิ่งดี) ขอให้อโหสิกรรม ขอให้ขาดจากกัน ณ.เดี๋ยวนี้ เทอญ ขอให้อุปถัมภ์ค้ำจุนข้าพเจ้า"
ถ้าทำบุญด้วยข้าวสารเป็นกระสอบ หรือ ถมทราย ดิน
ก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า
"ผลบุญนี้ขอให้ข้าพเจ้าร่ำรวย เหมือนเมล็ดข้าวสาร เม็ดทราย ดิน เจ้ากรรมนายเวร ตามเมล็ดข้าวสาร ตามเม็ดทรายดิน ขอให้ได้รับ และขอให้อโหสิกรรม หลุดขาดจากกัน ณ บัดนี้เดี๋ยวนี้เทอญ ขอให้ข้าพเจ้า มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง พบแต่ ผู้อุปถัมภ์ค้ำชู"
กรณีที่ดวงตกมาก ขอให้แผ่บุญให้ตนเอง ให้มาก ๆ บางท่านก็แผ่ให้ผู้อื่น จนลืมให้ตัวเอง ตัวเราเอง ต้องมีบุญบารมี แก่กล้า จริง ๆ จึงจะช่วย และให้ผู้อื่นได้
ควรสวด อิติปิโส ฯ เลยอายุ 1 จบ
มีเวลาขอให้ไป ปฏิบัติธรรม ฝึกวิปัสสนาด้วย จะเกิดผลเร็ว โทสะจะน้อยลง ควรแผ่เมตตาให้มากๆ วันละ 10 - 30 ครั้ง การแผ่เมตตาที่ได้ผลนั้น ทานพระธรรมสิงหบุราจารย์แนะนำว่า
ถ้าจะกรวดน้ำ ต้องกรวดน้ำลงดิน ทุกครั้ง วันละ 100 ครั้ง เจ้ากรรมนายเวรจะหาย 100 เท่า 100 วิญญาณ




หรือ
ใช้สมาธิกำหนดอธิษฐานจิต ด้วยความตั้งใจ ประกอบด้วยความมีสติ และสัมปชัญญะ แผ่เมตตาออกจาก ลิ้นปี่ แล้วอุทิศส่วนกุศล จากจักระ 6 หรือบริเวณตาที่สาม ที่กลางหน้าผาก ต่ำลงเล็กน้อย จะได้ผลมากขึ้น
อุทิศบุญ ใช้กับผู้ตาย
นำส่งบุญ ใช้กับผู้ยังมีชีวิตอยู่
ถวายบุญกุศล ใช้กับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แก้กรรมให้ตนเองได้ผลดีเร็วขึ้น
วิบากกรรมของแต่ละคน ล้วนแตกต่างกันไป บางคนป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ บางคนตกงานบ่อย บางคนลำบากมาก หากินไม่คล่อง บางคนลูกเกเร วิบากกรรมนี้ ตามมาหลายภพหลายชาติ ซึ่งมีส่วนทำให้เรา เกิดมาแตกต่างกัน แต่ อย่าเพิ่งสิ้นหวัง หนทางในการบรรเทาวิบากกรรมนั้นมี ซึ่งอาจทำได้หลายวิธี ดังนี้
เวลาที่เราทำบุญ หรือทำความดีทุกครั้ง นอกจากบุญที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น การใส่บาตร การถือศึล ฯลฯ แล้วการพูดคุยที่ช่วยให้ผู้อื่นสบายใจ การสนทนาธรรม การให้ธรรมทาน การร่วมบริจาค หนังสือธรรมะ ชี้แนะแนวทาง แก้ไขปัญหาชีวิต ให้กับผู้สิ้นหวัง การทำความสะอาดห้องพระ การถวายน้ำเปล่าเพียง 1 แก้ว ให้กับหิ้งพระพุทธฯ การร่วมอนุโมทนา การทำความดีของผู้อื่น โดยการใช้ จิตน้อมไปทางบุญกุศล การกวาดใบไม้ ทำสวน ทำความสะอาด ห้องน้ำ หรือของส่วนรวม การดูแลคนแก่ เด็ก การที่เรามีจิตใจดี หรือตั้งใจดี ฯลฯ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนเป็นกุศล และเป็นบุญทั้งสิ้น ให้ ตั้ง นะโม 3 จบ
"ข้าพเจ้า (บอกชื่อตัว)....นามสกุล...เกิดวันที่...วันนี้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิต ถึงบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก รวมถึง องค์เทพ องค์พรหม ที่ปกปักรักษากายสังขารวิญญาณลูกอยู่ วันนี้ลูกตั้งจิตถวาย... (บุญที่ทำ เช่นใส่บาตร ถือศีล สวดมนต์ ให้ทาน ฯลฯ) ลูกขอถวายบุญกุศลนี้ แด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกๆ พระองค์ นำส่งบุญให้ลูกเจริญขึ้น ทั้งการงานการเงิน และความรัก ให้ลูกมีเดช ปัญญาโภคะ (ความสมบูรณ์) ทุกภพทุกชาติ และขออุทิศบุญกุศลนี้ ให้กับเจ้ากรรมนายเวรทุกภพทุกชาติ รวมถึงวิญญาณที่ตามมา ทุกผู้ทุกคน ศัตรูหมู่มารหรือหมู่พาล คือมนุษย์ เช่น บริวาร ญาติมิตร คนรับใช้ สามี บุตร ธิดา ทุกภพทุกชาติ ขอให้ได้รับมหากุศลนี้ รับแล้วขอให้อโหสิกรรม ซึ่งกันและกัน ให้ขาดจากกัน ณ.เดี๋ยวนี้บัดนี้ ขอให้ข้าพเจ้า มีบุญบารมีสูงขึ้นๆ เต็มขึ้น เพื่อช่วยสังคมให้สูงขึ้น และสร้างคนให้เป็นพระต่อไป และให้เกิด ปัญญาทางธรรม สมบูรณ์พูนผลทุกอย่าง ด้วยบุญที่ทำนี้เทอญ สาธุ..."




หมายเหตุ :

1. การตั้ง นะโม 3 จบ เพื่อขอให้พระพุทธเจ้า ทรงเป็นพระประธาน เพราะพระบารมี ของพระพุทธองค์ สามารถเปิด 3 ภพ (โลก) สวรรค์ มนุษย์ และนรก ไม่ว่าเจ้ากรรมนายเวรจะอยู่ภพภูมิใด แม้แต่นรกขุมสุดท้าย (ขุมที่ 18) ก็จะสามารถ เปิดทางไปถึงได้ เจ้ากรรมนายเวรจะได้รับอย่างรวดเร็ว และอโหสิกรรมให้เราหมด และควร กรวดน้ำลงดินด้วยทุกครั้ง แม่พระธรณี แม่พระคงคา จะได้เป็นทิพย์พยาน เพราะท่านได้ สำเร็จพระอรหันต์แล้ว

2. ปัญญาทางโลกทุกคน มีอยู่แล้ว ได้จากพันธุกรรมพ่อแม่ แต่อย่าให้ขาดปัญญาทางธรรม ซึ่งก็คือ จิตสัมผัสรู้ดีชั่ว และการหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า ถ้าได้ปัญญาทางธรรม จะประสบแต่ความสำเร็จ ความสมบูรณ์พูนสุขทุกอย่าง เพราะบุญคือขุมทรัพย์ ลาภยศจะมาเอง และยังช่วยครอบครัวและผู้อื่นได้อีกด้วย
3. กรรมเวร แก้ไขได้โดย การขอขมากรรม และส่งวิญญาณด้วยพระสะดุ้งมารขนาด 3 นิ้ว 5 นิ้ว เป็นการต่อชะตา ชีวิต ถ้ากรรมใดได้รับอโหสิกรรม กรรมนั้นจะเบาบาง และชีวิตจะดีขึ้น โดยสังเกตจากตัวเรา ว่ามีสิ่งที่ดีเข้ามามากขึ้น หรือไม่ ที่ป่วยก็จะหาย ที่จนก็จะเริ่มมี แสดงว่าเราเริ่มจะมีบุญมาช่วยแล้ว หากกรรม ยังมากก็จะยังลำบากอยู่...

ที่มา : FB เอกยุทธ จิระชัย

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

4 สุดยอด! สมุนไพรแก้อาการคัน


4 สมุนไพรไทยที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในปัจจุบัน มีคุณสมบัติที่เอื้อประโยชน์ให้กับการดูแลผู้ที่มีปัญหาน้ำเหลืองไม่ดี อาทิ การลดอาการคัน แก้ไขตุ่มคัน รักษาหนอง รวมถึงผิวที่มีอาการคันมาก จนถึงขั้นปวดแสบปวดร้อน









 พลู : ทาแก้คัน

  วิธีใช้ใบพลูแก้คันทำไม่ยาก แค่เอาพลู 3-4 ใบไปตำจนได้น้ำออกมา เติมเหล้าขาวลงไปนิดหน่อย จากนั้นก็กรองเอาแต่น้ำแล้วยกขึ้นซด เอ๊ย! เอาไปทาแผล ไม่นานอาการคันจะหายเป็นปลิดทิ้ง

ใบกะเพรา : จัดการตุ่มและรักษาหนอง

กะเพราไม่ได้เกิดมาเพื่อเด้งดึ่งอยู่ในกระทะคู่กับ หมู น้ำปลา จนกลายเป็นผัดกะเพราเพียงอย่างเดียว เวลาเกิดอาการคัน ถ้าเราสามารถเอาใบกะเพราสดมาขยี้แรงๆจนละเอียด แล้วทาตรงบริเวณจุดแผลที่คันก็จะหายไป แถมยังไม่มีตุ่มคันบวมหรือหนองขึ้นด้วย

ไพล : ทำให้ผิวไม่คัน

คนไทยเราไม่นึกถึงไพลเฉพาะเวลาที่ถูกเฆี่ยน เวลาคันๆไพลก็มีประโยชน์เหมือนกัน วิธีใช้ก็คล้ายๆขมิ้นคือ ต้องเอาเหง้าไพลไปตำหรือบดละเอียดผสมกับน้ำ จะช่วยให้ผิวที่คันคะเยอปวดแสบปวดร้อยหายได้

ขมิ้นชัน : สวย เนียน เมื่อทาผิว

ขมิ้นชันเป็นสมุนไพรที่ดีต่อผิวหนังอยู่แล้ว สาวๆโบราณเขาถึงได้เอามาทาผิวให้สวยเนียนจนท่านเจ้าคุณอยากสัมผัสยังไงล่ะ ฮะ! และเวลาที่เกิดอาการคันถ้าเอาขมิ้นชันสดๆมาล้าง ตำให้ละเอียดแล้วเอามาทาที่แผล ก็จะช่วยให้ผิวหายคันได้อีกด้วย




ที่มา : FB นพดล อุ่นตา

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

หญ้าใต้ใบ


ชื่ออื่น ๆ : มะขามป้อมดิน(ภาคเหนือ), หมากไข่หลัง(เลย), ไฟเดือนห้า(ชลบุรี), เตียงจูเช่า(จีน), ลูกใต้ใบ
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Phyllanthus urinaria Linn.
ชื่อวงศ์ : EUPHORBIACEAE




ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :
•หญ้าใต้ใบ เป็นพรรณไม้ล้มลุก ลักษณะของลำต้นตั้งตรง ลำต้นมีความสูงประมาณ 4-16 นิ้ว ลักษณะของลำต้นเรียบไม่มีขน ข้อ และกิ่งก้านเป็นสีแดง
•ใบหญ้าใต้ใบ ออกเป็นใบรวม มีใบย่อยเรียงสลับกันเป็น 2 แถว ลักษณะของใบย่อยเป็นรูปรี ปลายใบแหลมสั้น หรือมน โคนใบกลมมน หลังใบมีเป็นเขียว ส่วนใต้ท้องใบเป็นสีเขียวเทา ใบมีขนาดเล็ก กว้างประมาณ 2-5 มม. ยาวประมาณ 5-15 มม. ก้านใบสั้น
•ดอกหญ้าใต้ใบ มีขนาดเล็ก เป็นสีเหลืองอมน้ำตาล ดอกเพศผู้และเพศเมียจะแยกกันอยู่คนละดอก
•ผลหญ้าใต้ใบ มีลักษณะเป็นรูปกลมแบน มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3 มม. ผิวเปลือกนอกขรุขระ ผลอ่อนเป็น สีเขียว เมื่อแก่ก็จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล ข้างในผลเป็นรูปสามเหลี่ยม สีน้ำตาล ผลออกเรียงเป็นแถวอยู่ใต้ก้านใบ





ส่วนที่ใช้เป็นยา : ทั้งลำต้น

สรรพคุณตามตำรายาไทย :
•ลำต้น เป็นยาแก้บิดถ่ายเป็นมูกเลือด ตับอักเสบ แก้ไข้ นิ่ว ขับปัสสาวะ ลำไส้อักเสบ ไตอักเสบบวมน้ำ โรคติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ต้อตาและเป็นโรคตาแดง หรือใช้ภายนอกในการตำพอก แผลที่บวมอักเสบ บริเวณริมปาก และศีรษะ




ที่มา: สมุนไพรดอทคอม

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

สูตรดูแลสุขภาพ สูตรมะนาวน้ำผึ้ง ชงกินก่อนนอน..พุง..แขน..ขา..ยุบ..กับวิธีทำง่ายๆ ราคาไม่แพง..ไม่ลองไม่รู้




                                                      สูตรดูแลสุขภาพ สูตรมะนาวน้ำผึ้ง
..ชงกินก่อนนอน..พุง..แขน..ขา..ยุบ..กับวิธีทำง่ายๆ
ราคาไม่แพง..ไม่ลองไม่รู้….



1.เอาเกลือถูกับผิวมะนาว นาน 15 นาที..




2.หั่นมะนาวเป็นขิ้นบางๆ เอาเม็ดออกด้วย..


3.บรรจุลงขวดโหล

4.เตรียมน้ำผึ้งเทลงขวดโหล..


5.เทให้ท่วมมะนาว






6.ปิดฝาเรียบร้อย แช่ตู้เย็น ไว้สามวัน แล้วค่อยตักออกมาผสมน้ำ อุ่น หรือ ธรรมดา ชงกินก่อนนอน ทุกวันนะ ( สูตรบอกสองอาทิตย์ ก้อเห็นผล ) เรามาลองทำ ลองกินกันดูนะ..

ขอขอบคุณข้อมูลจากเพจ นานาคลิป


กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

การขออโหสิกรรมจากการทำแท้ง (ฉบับสมบูรณ์) (1 แชร์ เท่ากับ 1 ธรรมทาน)

ไม่ได้ขอกันง่ายๆ เด็กมันไม่ไปเกิด มันก็ไม่หยุดอาฆาต สร้างโบสถ์สร้างวัดให้มัน มันก็ไม่เอา จะไปตัดกรรมที่ไหนก็ไม่ได้ผล มีวิธีเดียวที่ทำได้คือวิธีนี้ จบหมด ตัดขาดจากกันนับบัดนี้ เด็กมันจะได้ไปเกิด(รอสิ้นอายุขัย) แล้วทุกอย่างจะเบาบาง คนที่เคยทำกรรมดังกล่าวมา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ กรรมนั้นย่อมติดตัวเสมอ. ที่ช่วยคือช่วยเด็กให้จิตวิญญาณนั้นได้มีโอกาสได้อโหสิกรรมให้เรา
คนที่ทำกรรมนี้ ชีวิตจะเป็นดังนี้



1. เจ็บป่วยจนตาย
2. ชีวิตดิ่งลง ไม่มีวันได้ดี
3. หนักตัว
4. อยู่กับใครไม่ได้นาน
5. จะมีแต่ปัญหาในชีวิต
6. ทำอะไรไม่ขึ้น
7. ตราบาปติดหน้า
8. ราศีไม่จับ
9. ตายไม่สวย

วิธีเป็นหนทางเดียวที่ตัดมันได้ กรรมอันสูงสุดไม่ได้ขออโหสิกันง่ายๆ. เป็นไปได้อย่าทำ อย่าฆ่าเขา ชีวิต 1 ชีวิต มีค่าเท่าชีวิตตัวคุณเอง
การทำแท้งเป็นกรรมหนักฆ่ามนุษย์ เป็นการตัดสิทธิ์ ตัดโอกาส ของวิญญาณที่จะมาเกิดแต่กลับไม่ได้เกิด แล้วเค้าไม่มีความผิดใดๆ โดยเกิดจาการกระทำของพ่อและแม่ วิญญาณเด็กที่ทำแท้งจึงอาฆาต
เนื่องจาก ยังไม่ได้จุติมาเป็นคน พวกนี้จะยังไม่เรียกผีแต่เรียกว่า พรายจะคอยกัดกินตามร่างกายของผู้ที่เป็นพ่อ เป็นแม่ทำให้ปวดหลังไหล่ท้องหรือแขนขาโดยไม่ทราพสาเหตุ เค้าจะรอจังหวะที่ผู้เป็นพ่อเป็นแม่ดวงขึ้นถึงขีดสุด แล้วกระชากลงมาทีเดียว




เพื่อให้สาสมกับสิ่งที่คุณทำกับเขาตอนที่เค้ากำลังได้เกิด กลับไปกระชากชีวิตเค้าก่อนที่เค้าจะมีตัวมีตน เป็นกรรมที่ทำกับเขาตอนที่เค้ายังไม่มีตัวตน ที่สมบูรณ์ในพระไตรปิฏก แม้แต่ปฏิสนธิได้หนึ่งวันก็ถือว่าเป็นสัตว์มนุษย์ คนส่วนใหญ่จะเข้าใจผิดเกี่ยวกับวิธีการขออโหสิกรรมทำแท้ง คือมักจะทำบุญให้สร้างพระให้ แต่ถามว่าให้ใคร ศพเขาอยู่ใหน ทิ้งใหนแล้ว ยด้ประกอบพิธีทางศาสนาให้เขาบ้างใหม๋ เขามีชื่อหรือยัง จะอุทิศให้ได้ยังไงท่าไม่รู้จักชื่อ ฉนั้น การทำตามธรรมเนียมประเพณีนิยมจึง เหมาะสมที่สุด คือการทำสังฆทานอุทิศ หรือบางที่เรียกว่าแจกข้าวหาญาติผู้ตาย
และผู้ที่จะกระทำให้ได้ต้องเป็นพระเท่านั้น เรียกว่าปฏิฆาหก คือผู้อยู่ท่ามกลางระหว่างความเป็นความตาย จึงจะเหมาะสมที่สุด


วิธีขออโหสิกรรม/ขอขมากรรม
1. ให้ไปซื้อตุ๊กตาเล็กๆ มาสองตัว หญิงหนึ่งชายหนึ่งให้สมมุติเป็นตัวเขา เพราะตอนทำแท้งตัวเขาไม่มีรูปกาย ให้สมมุติเป็นหญิงตัว ชายตัว เนื่องจากเราไม่รู้ว่าลูกในท้องเป็นเพศอะไร เราจึงทำให้ทั้งสองเพศโดยให้ตั้งชื่อเค้าและใส่นามสกุลของเราเขียนติดที่ตุ๊กตาทั้งสอง
2. ให้ใช้นม 6 กล่อง คืออายตนะทั้งหมด หู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ และนมจะเป็นนมวัวแดง ก็ได้ จากนั้นให้นำเงินใส่ในกล่องนั้น กล่องละ 50 บาท แทนขันธ์ 5 ดอกไม้ ธูป เทียน 1 ชุดสังฆทานเครื่องซักล้างต่างๆ เช่น สบู่ แฟ๊ป น้ำยาล้างจาน ยาสีฟัน น้ำยาล้างห้องน้ำฯลฯ เป็นการล้างมลทิน ข้อขัดข้องที่ติดอยู่ในใจ เป็นการชำระล้างให้สะอาด
3. พริกแห้ง เกลือ ข้าวสารสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ทางโลกวิญญาณ เพราะเป็นของที่มีค่าทางโลกวิญญาณ เสมือนเงินทอง สังเกตได้จากสมัยก่อนเค้าเผาพริก เผาเกลือ เพื่อ สาบแช่ง เป็นเสมือนการจ้างผีให้ไปทำร้ายคน
4. ร่ม 2 คัน, ร้องเท้า 2 คู่, เสื้อผ้าผู้หญิง 1 ชุด (เสื้อ+ผ้าถุง), เสื้อผ้าผู้ชาย 1 ชุด(เสื้อ+ผ้าขาวม้า) ความหมายว่าให้เค้ามีร้องเท้าใส่ มีเสื้อใส่ มีร่มใช้ เพื่อการเดินทางสู่สัมปรายภพรอการมาเกิดใหม่อีกรอบ

5ปัจจัย 4 ซอง หรือตามจำนวนพระ ที่เราจะกระทำสังฆทานอุทิศจะใส่เท่าไร่ก็ได้

6ให้จัดเตรียมสำรับกับข้าว อาหารคาวหวาน โดยที่เป็นอาหารเราชอบ 6 อย่าง พร้อมข้าว ไปถวายพระ 1 ชุด กะให้พอ ต่อจำนวนพระทีจะถวาย อีก ชุด 1 สำรับทำเป็น ภาเวร หรือ แต่งภาข้าวน้อย
หรือ เราเตรียมอีกทำเป็นกระธง และใส่ลงไป เสมือนการอุทิศ เป็นสังฆแทน ให้เอาไปวางใต้ต้นไม้และเรียกเค้ามากิน มารับรู้ว่าเราอุทิศให้ ก่อน จะยกไปวางใต้ต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่งให้ไปหาพระนั้น
ให้ยกยปกาพระองค์ที่เป็นหัวหน้หวือ อาวุโสสุด ในที่นั้น หยาดน้ำ กรือกรวดร้ำใส่ใน สำรับ ภาเวร ให้ถ้าเราไม่รู้พรรษาพระ หรือ พระอายุไม่ถึง พรรษา 5 ให้ใช้พระทั้งหมด 4 รูปขึ้นไป
เพราะพระที่ทำควรมีพรรษามากกว่า 5 พรรษา เพราะมีนัยยะว่า พระทีมีพรรษา 5 พรรษา สามารถปกครองตัวเองได้ และเค้าจะรู้วินัย รู้สิขาบท คือสามารถตัดสินใจทำพิธี ต่างๆได้

โดยไม่ต้องปรึกษา กรรมวาจาจารย์ และ อนุสาวนาจารย์ หากมีพรรษาไม่ถึง 5 ควรใช้พระ 4 รูป เค้าจะสวดอภิธรรมเจ็ดคัมภีร์ ซึ่งเป็นธรรมหมวดที่พระพุทธเจ้า เลือกคัดสรรแล้วว่าเป็นธรรมที่ประประเสริฐที่สุด ควรคู่กับการโปรดพระมารดา เทวะบุตร บนสวรรค์ จะว่าด้วย บทที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมาฯลฯ
และสุดท้ายให้จบท้ายด้วย เหตุปัจจะโย ซึ่งสำคัญ เนื่องจาก สิ่งทั้งหลายมีเหตุ มีปัจจัยมาปรุงแต่ง ให้เป็นไปตามปัจจัย จะทำให้จิตวิญญาณแรงอาฆาตของลูก จะอ่อนลง และพระจะชักชัก บังสุกุลตายก่อน จะขึ้นว่า ขั้นตอนการพิธีเราจัดเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว ยป หาพระก็พร้อม เอาของตามข้อ 1 2 3 4 5 ใส่ภาชนะใหญ่พอควร หรือจะเป็น กาละมัง ให้มีดอกไม้ใบไม้อนู่ข้างบน เอาเชือก หรือสายสินธุ์ วางพาดตุุกตาและของทั้งหมด โดย โยงไปให้พระ ทุกรูป ชัก อนิจา
โดยลำดับสวดดังนี้

1นามะรูปัง(ชื่อ.....) อนิจาวะตะลังขารา ฯลฯ
2 นะโม ฯลฯ
3 กุสลาธัมมา ฯลฯ
4 เหตุปัจจะโย
พอจบก็ถวายสำรับอาการกับข้าวพร้อมทั้งเครื่องบริวารต่างๆ
ซึ่งเป็นบทที่บังคับตามถูกต้องตามกฏของพุทธธรรมและวิญญาณจะยอมตาย เมื่อยอมตายแล้วก็จะเป็นไปตามวัฎจักร แล้ววิญญาณจะยอมไปแต่โดยดี ซึ่งเป็นการแก้เหตุให้ถูกจุด เมื่อถวายภัตตาหารแล้ว
ก็จะให้พรดรวดน้ำ มี ยถาลัพพีไปจนจบและจะต่อด้วย “อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา”และว่าเรื่อยๆถึง “เปตานะ ปูชา”
ช่วงนี้ให้เรานึกถึงเขาถึงลูกที่เราไม่เคยนึกถึงเรียกชื่อตามที่เราตั่งให้ ซึ่งหมายถึงปูชาแด่ ชื่อลูกชื่อ น้อง1… น้อง2…




และสวดต่อจนจบพิธี คืออุทิศส่วนเค้าไปภพหน้า เมื่อจบพิธีแล้วจะมีสำรับอีกชุดหนึ่งที่เราเตรียมไว้ เรายกขึ้นแล้วว่า
“ อิมานิอิมัง โภชนะ ภาชะนัง อุทะกัง ถะเปคะวา น้องหนึ่ง น้องสอง โหมิ
ทุติยัมปิ อิมานิอิมัง โภชนะ ภาชะนัง อุทะกังถะเปตะวา น้องหนึ่ง น้องสอง โหมิ
ตะติยัมปิ อิมานิอิมัง โภชนะ ภาชะนัง อุทะกังถะเปตะวา น้องหนึ่ง น้องสอง โหมิ”
และพระจะหยิบน้ำมากรวดใส่ในสำรับนั้น ว่า
"อิทังเมญาตินังโหตุ สุขิตาโหตุ ญาตโย "
และสวดจบ เราก็ยกไปวางใต้ต้นไม้ให้เราทำธูปเทียนไปปักที่กับข้าว จุดและฝังที่ต้นไม้ต้นใดต้นหนึ่ง เป็นการจุด เรียกจิตเค้ามา ให้รับรู้ เขาจะรับรู้หรือไม่รับรู้ก็ตาม เป็นการทำบุญอุทิศ แล้วเราจะพูดขอโทษขออภัยหรือจะบอกกล่าวสั่งเสียอะไรเราก็จะพูดอธิถานเอาตอนนี้
แล้วตุ๊กตา นั้นเอาไ่ปเผา เสร็จแล้วเราก็กรวดน้ำให้ เป็นการฌาปนกิจเป็นให้เขาตามสมมุติโลกนิยมเป็นเสร็จพิธี

แล้วจะไปปล่อยปลา อีกต่อหนึ่งก็ ยิ่งดีเป็นเป็นการให้ชีวิต เพราะคนที่จะมาเกิดเป็นลูกจะต้องมีบุญวาสนาต่อกัน ในอดีตชาติ อย่างน้อยก็เป็นการกระทำที่ทำได้ให้เขาเป็นสุข ให้ใจเราเป็นสุข ตามแบบ ศาสนาพิธีนิยม
“คนทุกคนมีการทำผิด คนทุกคนมีการทำพลาด แต่ในเมื่อทำผิดพลาดแล้ว ก็ควรแก้ให้ถูกจุด ปัญหาก็เบาบางลง”

ที่มา : FB นพดล อุ่นตา

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

โภชนาการบำบัดโรค


1.ดื่มน้ำร้อนปลอดทุกโรค

2.กินไข่ลวกวันละสองฟอง ใส่พริกไทยดำตำเองหนึ่งช้อนชา จะห่างไกลจากอัลไซเมอร์ไม่ต้องไปหาหมอ

3.หยุดกินน้ำตาลทราย เพราะเป็นสาเหตุก่อให้เกิดโรคต่างๆ

4.กินทุเรียน ช่วยรักษาโรคมะเร็ง และแก่ช้า




5.กินแตงโม ช่วยแก้เลือดอุดตัน ลิ่มเลือด และช่วยบำรุงเลือด ถ้าเป็นผู้ชาย จะทำให้สมถรรพภาพทางเพศแข็งแรง

6.สตรีกินสับปะรด ช่วยกระช้บช่องคลอด

7.กินกล้วยไข่ ช่วยบำรุง ตับ ไต ผิว ตา กระดูก (เหมาะสำหรับคนทำงานหน้าคอมฯ) ทำให้หน้าอกโตด้วย

8.กล้วยน้ำว้านำไปเผาทั้งเปลือก ช่วยรักษา ปวดหัว ตัวร้อน และเบาหวาน

9.กล้วยหอม เด็กถ้ากินช่วยให้ความจำดี และสตรีวัยทองช่วยปรับฮอร์โมน ให้กินกับน้ำมะพร้าวอ่อน จะดีมาก ช่วยรักษาโรคฮันจิสัน (สตรีถ้ากินมากจะเซ็กส์จัดนะ)

10.น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น ใช้กินและนวดหน้า นวดร่างกายทำให้ดูอ่อนกว่าวัย รักษา ฝ้า กระ ดีมาก เพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นสารตั้งต้นของเครื่องสำอางค์ทุกชนิด




11.กินน้ำมันหมูดีที่สุดเพราะซ่อมสร้างเนื้อเยื่อได้ ที่เหลือขับทิ้งได้ไม่เหมือนน้ำมันพืช ที่ผ่านกรรมวิธีมีสารเคมีตกค้างมากมาย มีอันตราย ต่อสุขภาพระยะยาวแน่นอน

12.กินหอมแดง หอมใหญ่ กระเทียม และตามด้วยมะนาวฝานบางๆทั้งเปลือก 2-3 ชิ้น เพื่อดับกลิ่น เพื่อลดไขมันตัวร้ายในหลอดเลือด ดีกว่ากินยา


ที่มา : FB นพดล อุ่นต 

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

แชร์ประสบการณ์รักษา ริดสีดวง หายได้…ไม่ต้องผ่าแล้ว หายจริง

สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาแชร์ประสบการณ์การรักษาริดสีดวงสำหรับตัวดิฉันเองถือว่ารักษาได้เกือบ 100% เลยค่ะ เลยอยากจะมาแชร์ข้อมูล เผื่อใครอยากจะลองเอาไปทำดู ก่อนที่จะตัดสินใจผ่านะคะ
ก่อนอื่น ขออธิบายอาการคร่าวๆ ของดิฉันก่อนนะคะ


1. เป็นริดสีดวงมานานมากแล้วประมาณ 15 ปี เป็นตั้งแต่มัธยมต้นกันเลยย
2. ระยะที่เป็นน่าจะระยะที่ 4 คือไม่สามารถดันกลับเข้าไปได้แล้วค่ะ แล้วช่วงอักเสบคือเลือดไหลเยอะ ร้าวรานมาก เคยเป็นแบบหนักสุดคือมีเลือดซึมออกมา 4 วันค่ะ..เกือบแย่
3. วิธีการที่เคยลอง
    3.1 ยาเหน็บ เคยลองเมื่อนานมาแล้ว แต่อ่านข้อมูลแล้วเค้าไม่ให้ใช้ติดต่อกันนานเพราะว่าจะทำให้ เนื้อเยื่อรอบทวารหนักบาง เลยเลิกใช้
    3.2 ยาฝรั่ง daflon เคยใช้ แต่ราคาแพงกว่ายาสมุนไพร เพชรสังฆาตและให้ผลเหมือนกัน คือ ช่วยบรรเทาอาการ
    3.3 ยาหม่องอินทรชิตร์ รุ่นแก้ริดสีดวง ดีค่ะ ช่วยให้รอบทวารชุ่มชื่น แต่ก็แค่บรรเทาอาการ
    3.4 และวิธีสุดท้ายค่ะ ที่ได้ผลมากสำหรับดิฉัน คือ หัวไชเท้า + น้ำผึ้ง




ต้องบอกก่อนนะคะว่าดิฉันกำลังจะตัดสินใจผ่าอยู่แล้วเชียววว เตรียมหาโรงพยาบาลแล้วด้วย ดูค่ารักษาแล้วก็แอบตกใจเล็กน้อย เลยลองเสริชดูอีกครั้ง แล้วก็มาเจอวิธีง่ายๆ วิธีนี้ ดูเป็นสูตรโบราณมาก เค้าเขียนไว้ว่า

“ท่านให้เอา หัวผักกาดขาว (หัวไชเท้า) สด ๑-๒ หัว นำมาล้างน้ำให้สะอาด ตัดหัวจุกทิ้งเสีย ตำให้ละเอียด คั้นเอาน้ำ ๑ ช้อนโต๊ะ ผสมกับน้ำผึ้งแท้ ๑ ช้อนโต๊ะ กวนให้เข้ากัน ใช้รับประทาน เวลาก่อนนอน (เวลากลางคืน) ถ้าเริ่มเป็นใหม่ๆ ปรุงยานี้รับประทานเพียง ๓ ครั้งเท่านั้น และดากออกจะหายเป็นปลิดทิ้งทันที ถ้าเป็นมานานแล้ว ให้ปรุงยานี้รับประทาน วันละ ๑ ครั้ง ทุกวันติดต่อกันประมาณ ๑๕ วัน สรรพคุณ : โรคริดสีดวงทวารหนักชนิดเลือดออก และดากออกจะหายขาด ชะงัดนักแล ฯ “

อ่านเสร็จปุ๊บ คิดเลยว่ายังไงก็ต้องลอง เพราะไม่อยากเสียตังค์ผ่า ดิฉันดูจากระยะที่ตัวเองเป็น ก็ให้เวลาตัวเองไว้เลยว่าจะกินเป็นเวลา 2 เดือน เพราะคิดว่า 15 วันอาจจะยังน้อยไป

วิธีทำก็ทำตามที่สูตรบอกเลยนะคะ แต่ดิฉันมีเครื่องแยกกาก ก็ตัดหัวไชเท้าออกมาไม่มากค่ะ ประมาณ 1.5 – 2 นิ้ว คั้นสด แล้วผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ กินก่อนนอน .... จะบอกว่าครั้งแรกที่ดิ่ม เพิ่งจะรู้ว่าหัวไชเท้าสดๆ มันเผ็ด แต่พอกินๆ ไปก็ชินค่ะ พยายามนึกถึงคำที่ว่า หวานเป็นลม ขมเป็นยา เข้าไว้...ดิ่มเสร็จ พยายามอย่าดิ่มน้ำตามนะคะ ถ้าไม่ไหวก็ดิ่ม 1 อึก พอค่ะ แล้วเข้านอนเลยย

ผลที่ได้คือ ดิ่มไปสองวัน อาการเจ็บลดน้อยลงอย่างรู้สึกได้ชัด เลือดไม่ออกตอนเข้าห้องน้ำจริงๆ ด้วย..แบบว่ามีกำลังใจในการดิ่มต่อขึ้นมาทันที

ส่วนตัวแล้วทุกครั้งหลังเข้าห้องน้ำ ดิฉันจะแช่ก้นในน้ำอุ่นนะคะ แล้วลองจับหัวริดซี่ดูค่ะ ค่อยๆ จับ ลองนวดๆ แล้วค่อยๆ ดันดูว่าเค้าจะเข้าไปได้รึป่าวว สำหรับดิฉันสัมผัสได้เลยว่าเค้าเล็กลง ณ ตอนนี้ เค้าเข้าไปแล้วค่ะ เหลืออยู่นิดหน่อย

จากผลการทดลองคือ ดิ่มไป 1 เดือนค่ะ ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลยย ก็คิดว่าจะดิ่มไปเรื่อยๆ จนกว่าเค้าจะหายไป..เราก็ต้องให้เวลาเค้านะคะ วิธีธรรมชาติอาจจะให้เวลานานกว่า แต่ไม่เจ็บตัว และราคาถูกแสนถูก สนนราคาค่าหัวไชเท้า กะน้ำผึ้งนี่ยังไม่ถึง 300 บาทเลย...




นอกเหนือจากการรักษานี้ ดิฉันก็พยายามเปลี่ยนนิสัยการกินด้วยนะคะ สำหรับใครที่อยากจะลอง ดังนี้ค่ะ
1 ตื่นเช้ามาดื่นน้ำอุ่น 2 แก้ว เร่งการขับถ่าย
2. กินเมล็ดเจีย (chia seeds) 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับนม ทุกเช้า เมล็ดเจียให้ไฟเบอร์สูงค่ะ ช่วยทำให้มีกากไย ท้องจะได้ไม่ผูก
3. พยายามจิบน้ำตลอดวัน
4 ทานเนื้อสัตว์น้อยลงค่ะ ถ้าทานก็จะทานเนื้อปลาส่วนใหญ่ ไก่บ้าง เพราะเนื้อพวกนี้ย่อยง่ายกว่าเนื้อแดง

ลองดูนะคะ วิธีธรรมชาติ แต่ได้ผลมาก ลองแล้วดีจริงจึงบอกต่อ

ที่มา : FB นพดล อุ่นต

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

ปู่กระดูกเหล็ก-10ล้อชนเก๋งไม่เป็นไร ฝ่ายคู่กรณี 2คันพังยับ สยอง3ศพ

คุณปู่กระดูก เหล็ก อดีตนักบาสทีมชาติวัย 80 ปี รอดตายปาฏิหาริย์จากเหตุรถ 10 ล้อประสานงารถพ่วง 18 ล้อ แล้วเกี่ยวเอาเก๋งบีเอ็มฯที่ขับจากสระแก้วกลับบ้านเมืองนนท์จนตกถนน คนขับรถพ่วงกับคนขับ 10 ล้อและเมียตายคาที่ 3 ศพ แต่คุณปู่อดีตนักบาสปีนออกมาจากรถได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีอาการบาดเจ็บแม้แต่รอยข่วน เปิดใจไม่ได้แขวนเครื่องรางของขลังใดๆ


เมื่อ เวลา 15.00 น. วันที่ 15 ก.ย. ร.ต.ท.เสน่ห์ เดชสุภา พนักงานสอบสวน สภ.เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว รับแจ้งเหตุรถชนกันหลายคัน มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก บนถนนสายสระแก้ว-เขาฉกรรจ์ บ้านโคกมัน ต.เขาฉกรรจ์ ห่างจากสี่แยกไฟแดงสระขวัญ ประมาณ 200 เมตร หลังรับแจ้งได้รายงานผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นนำกำลังรุดไปตรวจสอบพร้อมด้วยหน่วยกู้ภัยสว่างสระแก้ว


ที่ เกิดเหตุพบรถพ่วง 18 ล้อ ฮีโน่ สีขาว ทะเบียน 81-4595 สระแก้ว ตัวพ่วง ทะเบียน 81-45853 สระแก้ว ชนกับรถบรรทุก 10 ล้อ ฮีโน่ สีขาว ทะเบียน 82-1054 ปราจีนบุรี จนพลิกตะแคงตกถนน โดยมีรถยนต์บีเอ็ม ดับเบิลยู สีบรอนซ์ ทะเบียน 4 กฌ 3943 กทม. ถูกเกี่ยวตกถนนอีกคัน




ภายในรถพ่วง พบศพนายสุรชัย วันช่วย อายุ 32 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9/1 ม.4 ต.นาแขม อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี คนขับถูกอัดก๊อบปี้ติดกับตัวรถเสียชีวิตคาที่ ส่วนภายในรถ 10 ล้อพบศพนายสมบูรณ์ เทียงสา อายุ 54 ปี อยู่บ้านเลขที่ 9 ม.23 ต.ท่าช้าง อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี และนางไสว เทียงสา อายุ 50 ปี ภรรยา ถูกรถทับร่างเสียชีวิตคาที่เช่นกัน รวมผู้เสียชีวิตทั้งหมด 3 ราย


ใน ที่เกิดเหตุพบนายมงคล อุ่นอนุโลม อายุ 80 ปี บ้านอยู่อ.เมือง จ.นนทบุรี เจ้าของรถบีเอ็มดับเบิลยู ไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ ให้การด้วยอาการตกใจว่า ตนขับรถมาทำธุระที่จ.สระแก้ว ขณะเดินทางกลับรถบรรทุก 10 ล้อขับมุ่งหน้าไปทางอ.เมือง จ.สระแก้ว เสียหลักเนื่องจากฝนตกลงมามาก ปีนข้ามเกาะมาเกี่ยวรถของตนด้านหน้าแล้วพุ่งไปชนเสาไฟฟ้า จังหวะเดียวกันนั้นรถบรรทุกพ่วงสวนทางเลนมาอีกฝั่ง มุ่งหน้าไปทางอ.เขาฉกรรจ์ เลยชนกันแบบประสานงาอย่างจังในระยะกระชั้นชิด ทำให้ลากตัวรถตกลงข้างทางเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ตนปีนออกจากตัวรถมาได้อย่างปลอดภัย โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆ แม้แต่รอยขีดข่วน ซึ่งไม่ได้แขวนเครื่องรางของขลังใดด้วย


จาก นั้นเจ้าหน้าที่รีบเคลื่อนย้ายซากรถและเคลียร์พื้นถนนให้การจราจรเป็นปกติ ส่วนผู้เสียชีวิตนำส่งร.พ.สมเด็จพระยุพราชสระแก้ว เพื่อรอญาตินำไปบำเพ็ญกุศลต่อไป


สำหรับนายมงคล อุ่นอนุโลม เป็นอดีตนักกีฬาบาสเกตบอลทีมชาติไทย ชุดสู้ศึกกีฬาโอลิมปิก ฤดูร้อน ครั้งที่ 16 ที่เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย เมื่อปี พ.ศ.2499 และครั้งที่ 17 กรุงโรม ประเทศอิตาลี พ.ศ.2503 ผ่านกีฬาแหลมทอง (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นกีฬาซีเกมส์) และเอเชี่ยนเกมส์หลายครั้ง ลงแข่งขันในประเทศสังกัดทีมบาสเกตบอลแดง-เหลือง ครองแชมป์ถ้วยพระราชทาน ก เป็นทีมแรก กระทั่งมีการก่อตั้งสมาคมบาสเกตบอลฯ ร่วมทีมแดง-เหลือง ครองแชมป์ประเทศไทยถึง 4 สมัยซ้อน ตั้งแต่ครั้งที่ 1-4




ที่มา Khaosod
กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

รากบัวสมุนไพรสารพัดประโยชน์

“รากบัว” หรือ “เหง้าบัว” ภาษาจีนเรียกว่า “กวงพั้ง” หรือ “หน่อยเก๋า” มีลักษณะเป็นปล้อง ๆ สีขาวอมเหลือง เมื่อตัดตามขวางจะเห็นรูกลวงเป็นช่อง รากบัวที่ดีต้องมีสีขาว อวบ และใหญ่ รากบัวกินได้ทั้งดิบและสุก โดยนำมาประกอบอาหารและเป็นยา



สรรพคุณทางยา

•รากบัวมีฤทธิ์เย็น รสหวาน ส่วนของรากอ่อนใช้กินแก้ร้อนใน แก้กระหาย แก้ไอ ขับเสมหะ แก้เลือดกำเดาไหล
•ส่วนของรากแก่ ใช้ต้มน้ำดื่มเพื่อบำรุงม้าม เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้กับม้ามและกระเพาะ บำรุงเลือด ไต และหัวใจ รักษาอาการไข้ อาเจียนปนเลือด แก้บิด แก้ท้องร่วง รักษาอาการตาแดง ตาอักเสบ บำรุงสายตา ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย
•ช่วยบำรุงสมอง ทำให้จิตสงบ




 วิธีใช้

ชาวจีนนิยมนำรากบัวทั้งรากอ่อนและรากแก่มาต้ม ตุ๋น หรือกินดิบ โดยรากอ่อนเหมาะจะกินดิบ ส่วนรากแก่นำมาปรุงอาหารและเป็นยา

•ตุ๋นรากบัวกับน้ำผึ้งจนข้น กินรักษาอาการถ่ายเป็นเลือด
•ดื่มน้ำต้มรากบัวหั่นบาง ๆ กับเก๊กฮวยและแห้ว ช่วยรักษาอาการอาเจียนมีเลือดปน เลือดออกทางช่องท้องหรือทวารหนัก เลือดกำเดาไหล
•นำน้ำรากบัวต้มผสมกับน้ำสาลี่คั้นสด ดื่มเพื่อช่วยละลายเสมหะ ลดอาการไอและมีไข้
•ต้มรากบัวกับถั่วเขียว กินติดต่อกัน ช่วยบำรุงสายตา รักษาตาแดงและตาอักเสบ ทำให้เลือดเย็นลง
•ไข่ตุ๋นกับชวงฉิก รากบัว และเกลือ กินเพื่อช่วยห้ามเลือดสำหรับผู้ที่มีบาดแผลเลือดออก




>>>ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

ชาวบ้านสวดยับไฟแดงกรมทางหลวง รถชนกันเละอีกแล้ว!!


 เมื่อเวลา 07.00 น. ร.ต.ท.วิษณุ ศรีทะโร ร้อยเวร สภ.วัฒนานคร จ.สระแก้ว รับแจ้งจากกู้ภัย สว่างวัฒนานคร ว่าเกิดอุบัติเหตุรถชนกันที่แยกไฟแดงบ้านห้วยโจด มีผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่มีทรัพย์สินของหลวงเสียหาย จึงรีบรุดไปยังที่เกิดเหตุ พบรถกระบะอีซูซุ สีบรอนซ์ ทะเบียน บท-9649 สระแก้ว พุ่งชนป้ายสัญญาณไฟจราจร และป้ายพังเสียหาย รถพลิกคว่ำ ทราบชื่อคนขับ คือ นายพีรวัฒน์ ตรีสุทธิผล ส่วนรถคู่กรณีเป็นรถกระบะ สีเทา ยี่ห้อ อีซูซุ ทะเบียน บต- 1157 สระแก้ว คนขับ คือ นายใจ เล่าคุณ บ้านอยู่วังน้ำเย็น



  โดยนายใจ เล่าว่า ตนเองกำลังจอดติดไฟแดงอยู่ จู่ๆ รถกระบะที่วิ่งมาก็พุ่งเข้าชนเต็มแรง เป็นเหตุให้ท้ายรถพังยับเยิน





 ด้านนายพีรพัฒน์ ซึ่งวิ่งชนท้ายรถที่จอดติดไฟแดงอยู่ บ่นกระปอดกระแปดว่า ตนไปรับซื้อพริกมาจากตลาดโรงเกลือ จะนำไปขายต่อให้กับแม่ค้า พ่อค้า ที่ตลาดวังน้ำเย็นและใกล้เคียง มาเจออย่างนี้ทุนหายกำไรยิ่งไม่ค่อยจะมีอยู่ เพราะไฟแดงตรงนี้เป็นไฟแดงก่อปัญหา ตั้งแต่ทางหลวงชนบทมาติดตั้งไฟแดง ชาวบ้านเกิดเหตุรถชนกันเป็นประจำ เนื่องจากเป็นช่วงทางโค้ง เมื่อหลุดโค้งมาก็เจอไฟแดงพอดี ทำให้เกิดอุบัติบ่อยครั้งมาก


  ด้าน ร.ต.ท.วิษณุ ร้อยเวร กล่าวว่า ตั้งแต่กรมทางฯ ได้มาติดตั้งไฟแดงตรงนี้ กลับทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อยครั้ง ซึ่งแต่ก่อนยังไม่ติดตั้งไฟแดง ไม่พบว่ามีอุบัติเหตุ ซึ่งรายนี้ถือว่ารับเคราะห์หลายชั้น เนื่องจากจะต้องซ่อมรถของตนเองแล้ว ต้องไปซ่อมรถคู่กรณีอีก แถมต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับทางหลวงอีก ทางด้านตำรวจถึงแม้ว่า ทางเราจะเห็นใจ แต่ก็ต้องปรับไปตามกฎหมายในข้อหาขับรถโดยประมาท ทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นและของหลวงเสียหาย จำนวน 1,000 บาท อยากให้กรมทางหลวงหาทางแก้ไข เบื้องต้นยังไม่มีเจ้าหน้าที่กรมทางหลวงมาดูแลแต่อย่างใด




ที่มา : Khaosod


กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

10 ข้อห้าม ฮวงจุ้ยเงินรั่วไหล

มาเช็คกันหน่อยว่า บ้านใครที่ฮวงจุ้ยเข้าข่ายสุ่มเสี่ยงดัง 10 ข้อต่อไปนี้บ้าง? นั้นหมายถึงว่าเงินทองของคุณกำลังจะรั่วไหลแล้วจ้า แต่อย่าเพิ่งตกใจ! เพราะเรามีวิธีแก้ไขมาฝากด้วยค่ะ



1. มีแหล่งน้ำกลางบ้าน

ที่บ้านของคุณมีแหล่งน้ำอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของบ้านหรือเปล่าคะ เช่น

- ห้องน้ำ
- ตู้ปลา
- อ่างน้ำพุ
- บ่อน้ำ

ถ้าตั้งอยู่บริเวณจุดศูนย์กลางของบ้าน ถือว่าไม่ดีมากๆนะคะ เพราะความชื้นที่สะสม จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพและโชคลาภของคุณค่ะ ทำให้มีเหตุที่จะต้องเสียเงินอยู่บ่อย ๆ

วิธีแก้ไข

- ถ้าเป็นสิ่งของที่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ ก็ให้เคลื่อนย้ายออกไปจากบริเวณจุดศูนย์กลางของบ้าน
- ถ้าเป็นห้องน้ำ ให้นำม่านหรือมู่ลี่ติดหน้าประตูห้องน้ำ ปิดฝาชักโครก ปิดประตูห้องน้ำตลอดเวลา และแนะนำให้นำกระถางต้นไม้ประเภทไม้ใบ ไปตั้งไว้ในห้องน้ำ ให้ตักเกลือ 2 ช้อนโต๊ะใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วนำไปวางไว้ด้านข้างชักโครกเพื่อดูดกลิ่น และดูดความชื้น




2. ตั้งหิ้งบูชาเหนือขอบประตู

ตำแหน่งที่เหมาะกับการตั้งหิ้งบูชา คือบริเวณที่ค่อนข้างเงียบสงบ และต้องตั้งในที่ที่มีผนังทึบตัน หรือให้หลังหิ้งพระมีที่พิงอันมั่นคงแน่นหนา
การตั้งหิ้งบูชาไว้เหนือขอบประตูถือว่าเป็นจุดเสีย เพราะบริเวณนั้นมีคนเดินผ่านไปมา มีพลังการเคลื่อนไหว จะส่งผลเสียต่อพลังศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ผู้ที่อยู่อาศัยมีแต่ความเสื่อมถอยมากกว่าความเจริญ

วิธีแก้ไข

ควรย้ายมุมจัดตั้งหิ้งบูชาไปไว้ผนังด้านอื่น และควรให้หิ้งหันหน้าไปทางประตูหน้าบ้านจึงจะมีผลดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำมาค้าขาย


3. เตียงอยู่ใต้คาน

ไม่ควรวางเตียงไว้ใต้คาน เพราะถือว่าเป็นจุดที่ไม่ดี พลังกดทับจากคาน จะมีผลต่อสุขภาพ ทำให้ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง เจ็บป่วยได้ง่าย อาจปวดศีรษะและแน่นหน้าอกได้บ่อยๆ คู่สมรสมักจะเกิดความไม่ลงรอยกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ตลอดเวลา และจะมีผลมากที่สุดหากคานมีขนาดใหญ่ และอยู่ห่างจากตัวเราไม่เกิน 2.5 เมตร

วิธีแก้ไข

- ควรย้ายเตียงไปอยู่ในตำแหน่งอื่นให้พ้นจากคานนั้น
- หากไม่สามารถทำได้ ให้ตีฝ้าปิดคานนั้นเสีย
- ใช้ผ้าผืนใหญ่ขนาดเท่ากับความกว้างของเตียง ปิดเหนือเตียง เพื่อไม่ให้เห็นขื่อคานนั้น และเป็นการกระจายพลังงานที่กดทับของคานให้ลดน้อยลง

4. เสาไฟฟ้าตั้งอยู่หน้าบ้าน

หากว่ามีเสาไฟฟ้าตั้งอยู่ตรงกับหน้าบ้านพอดี ถือว่าเป็นลักษณะที่ไม่ค่อยดีนัก ทำให้บ้านของคุณขาดพลังความสมดุล มีผลให้สภาพจิตใจไม่ปรกติ โมโห หงุดหงิดง่าย และมักออกอาการเกรี้ยวกราดง่ายอยู่เสมอ ทำให้ขาดโชคลาภ
หากมีเสาไฟฟ้าแรงสูงอยู่ด้านหน้าบ้าน หรือด้านข้างของบ้าน พลังของคลื่นไฟฟ้าจะส่งผลต่อระบบเลือดภายในร่างกาย ทำให้เลือดหนืด เม็ดเลือดอาจผิดปกติ เกิดโรคที่หาสาเหตุไม่ได้ หรือโรคเรื้อรัง

วิธีแก้ไข

- ให้หาลูกแก้วคริสตัลหรือโมบายมาแขวนหน้าประตูบ้าน เพื่อช่วยสะท้อนและกระจายสิ่งที่ไม่ดีให้ออกไปจากบ้าน
- ไม่ควรนอนในห้องที่อยู่ใกล้เสาไฟฟ้า
- ปลูกต้นไม้ให้สูง บังเสาไฟฟ้า
- ติดธงชาติ ให้โบกสะบัด พัดพลังงานให้กระจาย

5. หันหัวเตียงติดห้องน้ำ

การตั้งหัวเตียงไปชิดกับผนังด้านที่เป็นห้องน้ำถือว่าไม่ดีอย่างยิ่ง และถ้ายิ่งจุดที่ตั้งของชักโครกตรงกับหัวเตียงด้วยแล้วยิ่งไม่ดีอย่างมาก เพราะจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมีอารมณ์แปรปรวนง่าย อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ถ้าห้องน้ำไม่มีแดดส่งถึง จะทำให้เป็นโรคภูมิแพ้ หอบ หืด โชคลาภก็พลอยหดหายไปด้วย

วิธีแก้ไข

- ควรย้ายหัวเตียงหันไปทางอื่น
- หากไม่สามารถหันได้ ให้ทำฉากกั้น ขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อให้เตียงอยู่ห่างจากผนัง และไม่ได้ยินเสียงในห้องน้ำ รวมทั้งป้องกันความชื้นที่ส่งมายังศีรษะเวลานอนด้วย

6. ตั้งโต๊ะทำงานหันหลังให้ประตู

หากใช้ทาวน์เฮาส์ ตึกแถว หรือคอนโดมิเนียม ทำเป็นสำนักงาน การจัดวางโต๊ะทำงาน อย่าตั้งโต๊ะทำงานโดยที่เมื่อนั่งทำงานแล้วหันหลังให้กับประตู เพราะจะทำให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น

วิธีแก้ไข
- ควรย้ายมุมโต๊ะใหม่ หรือหากระจกเงามาติดไว้ข้างหน้า ให้ส่องไปทางด้านหลังให้เห็นประตูเปิดปิดได้ หากเป็นไปได้ควรย้ายโต๊ะทำงานให้อยู่ในลักษณะหันข้างหรือหันหน้าให้เห็นประตูจะดีกว่า

7. กระจกร้าวในบ้าน

ลองตรวจสอบภายในบ้านของเราดูว่า มีกระจกบานใดที่มีรอยร้าว รอยแตก บิ่น หรือไม่ เพราะกระจกดังกล่าวถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดีนัก เพราะว่าจะทำให้ความสัมพันธ์ของคนในบ้าน จะมีแต่ความร้าวฉาน ไม่รักใคร่ปรองดองกัน เกิดการทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่ตลอดเวลา บ้านไหนที่มีการทะเลาะกัน โชคลาภ การเงินจะหนีหายไปหมด

วิธีแก้ไข

- ควรเปลี่ยนกระจกที่มีรอยร้าวเอาทิ้งไป
- ผนังปูนที่มีรอยร้าว ควรซ่อมแซมให้เรียบเนียนด้วยเช่นกัน




8.ตึกอกทะลุ

ตึกแถวหรือบ้านที่มีประตูเข้า-ออกตรงกันทั้งทางด้านหน้าและทางด้านหลัง เป็นลักษณะที่ไม่ค่อยดีนัก ตามหลักฮวงจุ้ย พลังงานโชคลาภที่เข้ามาในบ้าน จะออกอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถกักเก็บไว้ได้ พลังงานร้อนเย็นแปรปรวน เสียความสมดุล ทำให้ทำมาค้าขายไม่รุ่ง ได้เงินมา หรือโชคลาภผ่านเข้ามาก็จะผ่านออกไปอย่างรวดเร็ว และมีเหตุให้จ่ายเงินเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของคนในบ้าน

วิธีแก้ไข

- ควรเปิดประตูด้านเดียว หรือหาฉากกั้นบังไม่ให้ประตูทั้งสองด้านมองเห็นกัน หรือหาตู้มากั้นให้ประตูหลังเหลือเพียงครึ่งหนึ่งของประตูหน้า

9. เปิดประตูหน้าบ้านเจอห้องน้ำ

บ้านใครที่เปิดประตูเข้าไปในบ้านแล้ว ตรงกับห้องน้ำพอดี จะมีการเสียเงิน เงินที่หามาได้จะไหลลงชักโครกไปหมด

วิธีแก้ไข

- ปิดประตูห้องน้ำตลอดเวลา
- ทำห้องน้ำให้สวย สะอาด หอมสดชื่น จะทำให้เปลี่ยนจากการเสียเงินเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เป็นการเสียเงินในเรื่องที่เราต้องการเสีย
- หาฉากมากั้นไว้ ไม่ให้เห็นห้องน้ำ

10. สระน้ำหลังบ้าน

สระน้ำควรอยู่หน้าบ้าน หรืออยู่ด้านขวาของบ้าน ( เมื่อมองจากถนนไปยังตัวบ้าน ) ซึ่งเป็นตำแหน่งมังกร ที่ควรกระตุ้นให้มีน้ำ หรือมีการเคลื่อนไหว จะนำพาโชคลาภมาให้ผู้ที่อยู่อาศัย แต่หากมีสระน้ำ แม่น้ำ ทะเลสาบอยู่ด้านหลังบ้าน จะทำให้มีเรื่องเสียเงินตลอด ทั้งนี้ทั้งนั้น รีสอร์ท หรือโรงแรม ไม่มีผลกระทบด้านนี้ เพราะเราไปเที่ยวไม่นาน และพร้อมที่จะจ่ายเงินอยู่แล้ว แต่ถ้าเป็นบ้านที่อยู่ประจำ ควรรีบแก้ไข

วิธีแก้ไข

- ถมสระน้ำให้เรียบร้อย ปรับเป็นพื้นที่เรียบ หรือเนินดิน
- หากไม่สามารถถมได้ ให้ทำกำแพงปูน หรือกำแพงไม้ หรือกำแพงต้นไม้ที่สูงกว่าศีรษะของเจ้าของบ้าน กั้นระหว่างสระน้ำกับตัวบ้าน

ขอบคุณข้อมูลจาก : Ajanmayfanclub

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

ตะลึง!! น้ำผึ้งสีเลือด-หายาก หลังหนุ่มทำพิธีขอขมาตีผึ้งรังใหญ่ตรงข้ามรร.

 วันที่ 14 ก.ย. ผู้สื่อข่าว จังหวัดอุตรดิตถ์ รายงานว่า บริเวณพื้นที่ตรงข้ามโรงเรียนสวนหลวงสาธิต หมู่ 2 ตำบลป่าเซ่า อำเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ มีชาวบ้านพบผึ้งหลวงทำรังอยู่บนต้นมะขามที่มีความสูงกว่า 40 เมตร ขนาด 3 คนโอบ รังผึ้งมีขนาดความกว้างประมาณ 100 เซนติเมตร ยาวประมาณ 200 เซนติเมตร และหนาประมาณ 5 เซนติเมตร หวั่นเกรงว่าผึ้งหลวงเหล่านี้จะบินไปทำร้ายเด็กนักเรียนและชาวบ้านที่อยู่บริเวณใกล้เคียง โดยเฉพาะผู้ที่โดนผึ้งจำนวนหลายตัวต่อยเหล็กไนของผึ้งที่มีพิษ อาจทำให้เสียชีวิตลงได้ จึงเรียกผู้ชำนาญในการตีผึ้งให้มายกรังออกไป





  โดยมี นายสังเวียน อินเปีย อายุ 45 ปี อาชีพตีผึ้งในพื้นที่จังหวัดอุตรดิตถ์ มานานเกือบ 20 ปี ได้นำดอกไม้พร้อมจุดธูปทำพิธีขอขมาเจ้าที่และเทพาอารักษ์ ที่รักษาต้นไม้และดูแลรังผึ้ง เพื่อจะนำน้ำผึ้งจากรังที่พบเห็นมาบริโภคดื่มกินและทำยา 108 รักษาโรคตามโบราณ ส่วนหนึ่งจำหน่ายขายให้กับคนทั่วไป เพื่อนำรายได้เลี้ยงดูครอบครัว โดยนำดอกไม้และธูปปักไว้ที่โคนต้นมะขาม เพื่อเป็นการแสงความเคารพสักการะ

  จากนั้นเตรียมวัสดุอุปกรณ์ในการตีผึ้ง ประกอบด้วย ถุงพลาสติกและกากมะพร้าวจำนวนหนึ่ง พร้อมชุดสวมใส่ปิดบังใบหน้า เพื่อป้องกันฝูงผึ้งบุกเข้าโจมตี แล้วเดินไปยังต้นมะขามเพื่อขอขมาเทพารักษ์พระภูมิเจ้าที่และฝูงผึ้ง ก่อนปีนขึ้นต้นไม้เพื่อนำรังผึ้งลงมา

  โดยปีนถึงจุดรังผึ้งหลวงขนาดใหญ่ พร้อมจุดไฟใส่กากมะพร้าวที่จัดเตรียมไว้ เพื่อให้เกิดควันไฟและลนไปยังรังผึ้ง ส่งผลทำให้ผึ้งแตกกระจายตัวออกจากรัง บินหลบควันไฟหนีลงมายังใต้ต้นมะขาม เจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นทีมผู้ช่วยซึ่งอยู่ด้านล่าง ก็จุดกากมะพร้าวไล่ผึ้งหลวงที่หนีลงมาให้หนีไปที่อื่น พร้อมเร่งรีบนำรังผึ้งใส่ถุงที่จัดเตรียมไว้ ลงจากต้นมะขามและนำไปเก็บไว้ที่ปลอดภัย



   เมื่อเปิดถุงที่ใส่รังผึ้งออก พบน้ำผึ้งในรังมีสีแดง จึงใช้มีดตัดรังผึ้งบางส่วน พร้อมบีบน้ำผึ้งให้ไหลออกมา ปรากฏน้ำผึ้งที่ได้หยดเป็นสีแดงฉานคล้ายสีเลือด สร้างความประหลาดใจเป็นอย่างมากให้กับผู้ที่พบเห็น  จึงนำน้ำผึ้งส่วนหนึ่งใส่ใบตองถวายให้กับเทพารักษ์พร้อมพระภูมิเจ้าที่เพื่อแสดงการขอบคุณที่ให้น้ำผึ้งสีแดงมาในครั้งนี้


   ทั้งนี้ ได้ตัดรังผึ้งส่วนหนึ่งแจกจ่ายให้กับเด็กนักเรียนรับประทานกันหลังทราบข่าว รังผึ้งขนาดใหญ่ถูกตัดนำลงมาแล้ว สร้างความดีใจให้กับเด็กนักเรียนเป็นอย่างมาก ที่ไม่ต้องหวาดกลัวผึ้งแตกรังบุกเข้าต่อยแต่อย่างใด

 นายสังเวียน กล่าวว่า ยึดอาชีพตีผึ้งมาเกือบ 20 ปี ไม่เคยพบเห็นมาก่อนตั้งแต่ตีผึ้งมา ถือเป็นน้ำผึ้งที่หายากมาก ราคาน้ำผึ้งสีแดงจะสูงกว่าน้ำผึ้งทั่วไป ชาวบ้านเชื่อว่าหากใครได้บริโภคหรือดื่มน้ำผึ้งแดงจะช่วยสร้างเม็ดเลือดแดงในร่างกายให้มากขึ้น สร้างความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย ที่สำคัญจะช่วยทำให้อายุยืน เพราะมีสรรพคุณทางยาสูงกว่าน้ำผึ้งชนิดอื่น ที่เป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลเข้ม ซึ่งเป็นน้ำหวานจากดอกสาปเสือ ดอกลิ้นจี่ ดอกลำใย ดอกเงาะ ดอกทุเรียน แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าน้ำหวานสีแดงที่ได้มานี้ มาจากดอกไม้ชนิดใด



 “การตีผึ้งครั้งนี้เป็นวิธีธรรมชาติที่ไม่ไปทำร้ายตัวผึ้ง เป็นการใช้ควันไฟไล่ตัวผึ้งให้หลบหนีออกไปจากรัง สำหรับรังผึ้งที่ตีได้ เมื่อนำลงมาแล้วเหลือเนื้อในกว้าง 80 เซนติเมตร ยาว 100 เซนติเมตร ประกอบด้วย ขี้ผึ้งส่วนที่สกัดจากสารดอกไม้ ส่วนที่สองวงในที่เป็นรังร้างของลูกน้อยที่โตเป็นตัวผึ้งเริ่มออกไปหาอาหารได้แล้ว และส่วนสุดท้ายรังผึ้งส่วนที่เก็บน้ำหวาน ซึ่งเหลือจากการเลี้ยงดูตัวอ่อน น้ำผึ้งแดงที่ได้มีปริมาณ 3,500 ซีซี เท่ากับขวดกลม จำนวน 4 ขวด”





ที่มา Khaosod

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

แพทย์ชี้ 3 โรคร้ายรุมเร้าพระสงฆ์-สามเณร

         แพทย์ชี้ 3 โรครุมเร้าพระสงฆ์-สามเณร เกี่ยวกับระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหาร ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน เหตุจากฉันอาหารที่มีรสจัด หวานจัด เค็มจัด มีแป้ง ไขมันสูงและขาดการออกกำลังกาย






          นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า จากข้อมูลการรักษาผู้ป่วยนอกของโรงพยาบาลสงฆ์ ปี 2555-2557 พบว่าพระสงฆ์- สามเณรอาพาธด้วยโรค 3 อันดับแรก คือ โรคเกี่ยวกับระบบการย่อยและดูดซึมสารอาหาร ความดันโลหิตสูง และเบาหวาน นอกจากนี้ยังพบโรคอื่นๆ ที่เป็นปัญหาสำคัญ เช่น ไขมันในเลือดสูง ปอดอุดกั้นเรื้อรัง ไตวายเรื้อรัง ข้อเข่าเสื่อม ต้อกระจก เป็นต้น สาเหตุเกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่ การฉันภัตตาหารที่รสจัด เช่น หวานจัด เค็มจัด มีแป้งและไขมันสูง และขาดการออกกำลังกายหรือการบริหารร่างกาย ส่งผลให้มีโอกาสเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย

          ดังนั้นการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ ควรคำนึงถึงอาหารเพื่อสุขภาพ โดยเลือกแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่มีรสเค็มจัดหวานจัด หรือมันจัดแต่เน้นอาหารที่มีผักมากๆ ถูกต้องตามหลักโภชนาการ คือ อาหารประเภทนม ควรเลือกถวายนมพร่องไขมัน เหมาะสำหรับพระสงฆ์ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง อาหารประเภทข้าว ควรเลือกถวายอาหารประเภทข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท เพราะจะให้ประโยชน์เรื่องใยอาหารและวิตามินบีรวม อาหารประเภทเนื้อสัตว์ ควรเลือกเนื้อปลา หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำ อาหารประเภทผัก ควรเป็นผักหลากสีซึ่งจะมีวิตามินต่างกัน อาหารประเภทผลไม้ ควรเลือกผลไม้ที่มีรสไม่หวานจัด เช่น ส้ม มะละกอ แตงโม แคนตาลูป ส้มโอ ฝรั่ง สับปะรด กล้วย แอปเปิ้ล แก้วมังกร เป็นต้น ที่สำคัญควรหลีกเลี่ยงการถวายอาหารที่ใช้น้ำมันจำนวนมากในการปรุง เช่น อาหารที่มีกะทิ อาหารที่ปรุงโดยการผัดน้ำมันมากๆ และอาหารทอด ควรงดเว้นหรือหลีกเลี่ยงการถวายขนมที่มีรสหวานจัด เพื่อให้พระสงฆ์-สามเณรมีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง

          สำหรับวิธีการออกกำลังกายที่พระสงฆ์สามารถทำได้โดยง่ายและเหมาะสมกับทุกวัย คือ การเดิน เช่นการเดินบิณฑบาต การเดินจงกรม ซึ่งควรเดินต่อเนื่อง 30 นาทีขึ้นไป หรือเดิน 10 -15 นาที 2-3 รอบ สะสมรวมกัน 30 นาที นอกจากนี้ควรมีกิจกรรมอย่างอื่นร่วมด้วย เช่น การกวาดลานวัด หรือการขึ้นลงบันได ยกเว้นพระสงฆ์สูงอายุที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ซึ่งก่อนและหลังการออกกำลังกายควรมีการอบอุ่นร่างกายและยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพื่อป้องกันการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ ช่วยลดความตึงและเพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อและกล้ามเนื้อ และควรออกกำลังกายในช่วงที่ไม่หิวหรืออิ่มเกินไป ถ้าฉันภัตตาหารไปแล้วควรรอหลังอาหารอย่างน้อย 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ หากมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยมาก หอบ หายใจไม่ทัน วิงเวียนศีรษะ หน้าซีด คล้ายจะเป็นลม ควรหยุดออกกำลังกายทันที






ที่มา : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ [Online]| ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล

บำรุงสายตา บำรุงเลือด..ด้วยน้ำดอกอัญชัน

     อยากตาสวย สายตาดี สมองดี และสุขภาพดี สามารถทำได้ง่ายๆเพียงแค่ดื่มน้ำดอกอัญชัน เนื่องจากในอัญชันนั้นมีสารที่ชื่อว่า “แอนโทไซยานิน” (Anthocyanin) ที่ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้ดี ทำให้เลือดไปเลี้ยงรากผมและนัยน์ตามากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ น้ำอัญชันจึงเหมาะสำหรับผู้ต้องการบำรุงสายตา และน้ำดอกอัญชันยังช่วยป้องกันอาการเหนื่อยล้าของสมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์สมอง ป้องกันโรคเส้นเลือดสมองตีบ และยังช่วยแก้อาการเหน็บชาได้อีกด้วยค่ะ





สิ่งที่ต้องเตรียม
1. ดอกอัญชัน 100 กรัม
2. น้ำเชื่อม 4 ช้อนโต๊ะ
3. น้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ
4. น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำน้ำดอกอัญชัน
1.นำดอกอัญชันสด 100 กรัมล้างน้ำให้สะอาด
1. นำน้ำเปล่าใส่หม้อ ประมาณ 2 ถ้วย ตั้งไฟให้เดือดก่อน
2. นำดอกอัญชันใส่ลงไปในหม้อ
3. ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
4. ตักหรือกรองดอกอัญชันที่ต้มแล้วออก
5. ผสมน้ำดอกอัญชันกับน้ำเชื่อม น้ำผึ้ง และน้ำมะนาว คนให้เข้ากัน
6. เทใส่แก้วใส่น้ำแข็งก็พร้อมดื่มแล้วค่ะ

เกร็ดน่ารู้ : น้ำดอกอัญชันไม่ค่อยมีกลิ่นหอมมาก หากต้องการเพิ่มกลิ่นที่หอมขึ้น ส่วนมากจะนิยมต้มใส่กับใบเตยอบแห้ง
หมายเหตุ เนื่องจากดอกอัญชันมีในการฤทธิ์ละลายลิ่มเลือด สำหรับผู้ที่มีปัญหาโลหิตจาง ขอแนะนำว่าห้ามรับประทานดอกอัญชันเด็ดขาด หรืออาหารเครื่องดื่มที่ย้อมสีด้วยอัญชันก็ไม่ควรรับประทานบ่อยๆเช่นกัน




ที่มา: นันทวดี น้อยนิติ

กดถูกใจ (Like) ​ติดตามข่าวสารจาก มงคล